กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสอน
ในช่วง
3 ทศวรรษที่ผ่านมา นักการศึกษาไทยได้พยายามที่จะเสนอ แนวคิดเพื่อการพัฒนาการศึกษาและการเรียนการสอนของไทยตลอดมา แต่เริ่มได้รับการตอบรับจากสังคมเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปการศึกษากันอย่างกว้างขวางในช่วง
4 - 5 ปีหลังจากนี้ วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540
ได้ทําให้ประเทศตระหนักถึงความสําคัญของการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จึงปรากฏว่านอกจากนักศึกษาแล้ว ยังได้มีนักคิดจากวงการอื่นที่หันมาให้ความสนใจ
การศึกษาและเสนอแนะแนวคิดต่างๆ อย่างหลากหลาย
ในที่นี้ผู้เขียนได้ประมวลแนวคิดที่น่าสนใจ เกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนมานําเสนอจํานวน 7 กระบวนการ
กระบวนการเหล่านี้แม้จะยังไม่ได้รับการนําไปทดลองใช้ และทดสอบ
พิสูจน์อย่างเป็นระบบ แต่ก็
เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากวงการศึกษาไทยเป็นอย่างมาก กระบวนการดังกล่าว
ได้แก่
3.1
กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี
3.2
กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวัฒน์
3.3
กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสี
3.4
กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
3.5
กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
3.6
มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณี และคณะ
3.7
กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
3.8
กระบวนการต่างๆ โดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
3.8.1 ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น
3.8.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
3.2.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
3.8.4 กระบวนกา
3.8.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
3.8.6 กระบวนการปฏิบัติ
3.8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์
3.8.8 กระบวนการเรียนภาษา
3.8.9 กระบวนการกลุ่ม
3.8.10 กระบวนการสร้างเจตคติ
3.8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
3.8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ
3.1
กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี
สาโรช บัวศรี
(2526) มีนักศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและประสบการณ์สูงในวงการศึกษา
ท่านนี้เป็นผู้ริเริ่มจุดประกายความคิดในการนําหลักพุทธธรรมมาใช้ในการเรียนการสอนมานานกว่า
20 ปีมาแล้ว โดยการประยุกต์หลักอริยสัจ 4 อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
มาใช้เป็น กระบวนการแก้ปัญหา โดยใช้ควบคู่กับแนวทางปฏิบัติที่เรียกว่า “กิจในอริยสัจ 4” อันประกอบด้วย ปริญญา
(การกําหนดรู้า ปหานะ (การละ) สัจฉิกิริยา (การทําให้แจ้ง) และภาวนา
(การเจริญหรือการลง มือปฏิบัติ)
จากหลักทั้งสองท่านได้เสนอแนะการสอนกระบวนการแก้ปัญหาไว้เป็นขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นกําหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) คือ
การให้ผู้เรียนระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข
2.
ขั้นตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) คือ การให้ผู้เรียนวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และ
ตั้งสมมติฐาน
3.
ขั้นทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) คือ การให้ผู้เรียนกําหนดวัตถุประสงค์และ
วิธีการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล
4.
ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (ขั้นมรรค) คือการนําข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป
3.2
กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวัฒน์
สุมน
อมรวิวัฒน์(2524 : 196
– 199) ราชบัณฑิต สํานักธรรมศาสตร์และการเมือง สาขาการศึกษา คณะครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกิตติเมธีของ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ได้อธิบายกระบวนการกัลยาณมิตร ไว้ว่า เป็นกระบวนการประสาน
สัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อจุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ 1. ชี้ทางบรรเทาทุกข์ 2.
ชี้สุขเกษมศานต์ กระบวนการกัลยาณมิตร
ใช้หลักการที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นหลักที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ คือหลักอริยสัจ 4
มาใช้ควบคู่กับหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ในการจัดการเรียนการสอน
ซึ่งมีกระบวนการหรือขั้นตอน 8 ขั้นด้วยกันทั้งนี้
1.
หาสร้างความไว้ใจตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ได้แก่ การที่ผู้สอนวางตนให้เป็น
ที่น่าเคารพรัก
เป็นที่พึ่งแก่ผู้เรียนได้มีความรู้และฝึกหัดอบรมและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ สามารถ
สื่อสาร ชี้แจงให้ศิษย์เกิดความเข้าใจ แจ่มแจ้ง มีความอดทน
พร้อมที่จะรับฟังคําปรึกษา และมีความ ตั้งใจสอนด้วยความเมตตา
ช่วยให้ผู้เรียนพ้นจากทางเสื่อม
2.
การกําหนดและจับประเด็นปัญหา (ขั้นทุกข์)
3.
การร่วมกันคิดวิเคราะห์เหตุของปัญหา (ขั้นสมุทัย)
4.
การจัดลําดับความเข้มของระดับปัญหา (ขั้นสมุทัย)
5.
การกําหนดจุดหมาย หรือสภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
6.
การร่วมกันคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา (ขั้นนิโรธ)
7.
การจัดลําดับจุดหมายของภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)
8. การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางที่ถูกต้อง (ขั้นมรรค)
3.3
กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสีประเวศ วะสี
ประเวศ
วะสีประเวศ วะสี (2542) นักคิดคนสําคัญของประเทศไทย ผู้มีบทบาทอย่างมากในการ
กระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น ท่านได้เสนอกระบวนการทางปัญญา
ซึ่งควรฝึกฝนให้แก่ผู้เรียน ประกอบด้วยขั้นตอน 10 ขั้น ดังนี้
1.
ฝึกสังเกตให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตสิ่งต่างๆ ให้มาก ให้รู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อม
รอบตัว
2.ฝึกบันทึก
ให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งต่างๆ และจดบันทึกรายละเอียดที่สังเกตเห็น
3.
ฝึกการนําเสนอต่อที่ประชุม เมื่อผู้เรียนได้ไปสังเกตหรือทําอะไร หรือเรียนรู้อะไร
มาให้ฝึกนําเสนอเรื่องนั้นต่อที่ประชุม
4.
ฝึกการฟัง การฟังผู้อื่นช่วยให้ได้ความรู้มาก
ผู้เรียนจึงควรได้รับการฝึกให้เป็นผู้ฟังที่ดี
5.
ฝึกปุจฉา-วิสัชนา ให้ผู้เรียนฝึกการถาม – การตอบ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความ
แจ่มแจ้งในเรื่องที่ศึกษา รวมทั้งได้ฝึกการใช้เหตุผล การวิเคราะห์และการสังเคราะห์
6.
ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคําถาม ให้ผู้เรียนฝึกคิดและตั้งคําถาม เพราะคําถามเป็น
เครื่องมือสําคัญในการได้มาซึ่งความรู้ต่อไปจึงให้ผู้เรียนฝึกตั้งสมมติฐาน ละหาคําตอบ
7.
ฝึกการค้นหาคําตอบ เมื่อมีคําถามและสมมติฐานแล้ว ควรให้ผู้เรียนฝึกค้นหา
คําตอบจากแหล่งต่างๆ เช่น หนังสือ ตํารา อินเตอร์เน็ต หรือไปสอบถามจากผู้รู้
เป็นต้น
8.
ฝึกการวิจัย การวิจัยเป็นกระบวนการหาคําตอบที่จะช่วยให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ใหม่
9.
ฝึกเชื่อมโยงบูรณาการ บูรณาการให้เห็นความเป็นทั้งหมด และเห็นตัวเองเมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรมาแล้ว
ควรให้ผู้เรียนเชื่อมโยงให้เห็นความเป็นทั้งหมด
และเกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไร
อันจะทำให้เกิดมิติทางจริยธรรมขึ้น
ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
10.
ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ หลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องใดแล้วควรให้ผู้เรียน
ฝึกเรียบเรียงความรู้ที่ได้ การเรียบเรียงจะช่วยให้ความคิดประณีตขึ้น
ทําให้ต้องค้นคว้าหาหลักฐาน ความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยําขึ้น
การเรียบเรียงทางวิชาการเป็นวิธีการสําคัญในการพัฒนาปัญญา คน
และเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป
3.4
กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ชัยอนันต์
สมทวณิช (2542 : 4-5) นักรัฐศาสตร์ และราชบัณฑิต สํานัก และการเมือง
และผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย นักคิดผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ซึ่งนับ
พัฒนางานทางด้านการศึกษาอย่างจริงจัง ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการ6 ๆ
ของคนเรามีหลายรูปแบบ โดยท่านได้ยกตัวอย่างมา 4 แบบ และได้อธิบายลักษณะ ทั้ง 4
แบบไว้ ซึ่งผู้เขียนจะขอนํามาประยุกต์เป็นแนวทางในการสอนเพื่อส่งเสริมคว ในการคิดของผู้เรียนได้
ดังนี้
1.
การคิดแบบนักวิเคราะห์ (analytical)
ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้
ความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนแสวงหาข้อเท็จจริง (fact) คตรรกะ ทิศทาง (direction) หาเหตุผล (reason)
และมุ่งแก้ปัญหา (problem – solving)
2.
การคิดแบบรวบยอด (conceptual)
ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนา
ความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดวาดภาพในสมองสร้างความคิดใหม่
จากข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอน
หรือมองข้อมูลเดิมในแง่มุมใหม่และส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าคิด กล้าทํา
3.
การคิดแบบโครงสร้าง (structural
thinking) การฝึกให้ผู้เรียนแยกแยะ ส่วนประกอบ ศึกษาส่วนประกอบ
และเชื่อมโยงข้อมูล จัดเป็นโครงสร้างจะทําให้ผู้เรียนมีการคิด อย่างเป็นระบบ
สามารถตัดสินว่า ควรจะทําอะไรอย่างไร
4.
การคิดแบบผู้นําสังคม (Social
thinking) การฝึกให้ผู้เรียนปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับ ผู้อื่น
ทําตนเป็นผู้อํานวยความสะดวก (facilitator) ฝึกทักษะกระบวนการทํางานรวมกันเป็นทีม
(group process) และฝึกให้คิด 3 ด้าน ที่เรียกว่า “PM”
คือด้านบวก (plus) ด้านลบ (minus) และด้านที่ไม่บวก ไม่ลบ แต่เป็นด้านที่ไม่สนใจ (interesting)
3.5
มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณี และคณะ
ทิศนาแขมมณี
และคณะ (2543) ได้ศึกษาค้นคว้าและจัดมิติของการคิดไว้ 6 ด้านกอ
1.
มิติด้านข้อมูลหรือเนื้อหาที่ใช้ในการคิด การคิดของบุคคลจะเกิดขึ้นได้
จําเป็น" มีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 ส่วน คือ เนื้อหาที่ใช้ในการคิดและกระบวนการคิด
คือต้องมีการก ควบคู่ไปกับการคิดอย่างไร ซึ่งเรื่องหรือข้อมูลที่คิดนั้น
มีจํานวนมากเกินกว่าที่จะกําหนดได้ อย ตาม อาจจัดกลุ่มใหญ่ๆ ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแว และข้อมูลวิชาการ (โกวิท
วรวิพัฒน์ อ้างถึงในอุ่นตา นพคุณ, 2530 : 29 - 36)
2.
มิติด้านคุณสมบัติที่เอื้ออํานวยต่อการคิด ได้แก่ คุณสมบัติสวน
โดยตรงหรือโดยอ้อมต่อการคิดและคุณภาพของการคิด เช่น ใจกว้าง ความใฝ่รู้ความกระตือรือร้น
ความกล้าเสี่ยง เป็นต้น
3. มิติด้านทักษะการคิด หมายถึง กระบวนการหรือขั้นตอนที่บุคคลใช้ในการคิด
ซึ่ง 1ะใน 3 กลุ่มใหญ่ คือ
ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน (basic thinking skills) ประกอบด้วยทักษะที่ใช้ใน
หาร
เช่น ทักษะการอ่าน การพูด การเขียน ฯลฯ ทักษะการคิดที่เป็นแกน (core thinking
skils) จักษะการสังเกต การเปรียบเทียบ เชื่อมโยง ฯลฯ
และทักษะการคิดขั้นสูง (higher order thinking า
เช่นทักษะการนิยาม การสร้าง การสังเคราะห์ การจัดระบบ ฯลฯ ทักษะการคิดขั้นสูงมัก
และกอบด้วย กระบวนการ หรือขั้นตอนที่ซับซ้อนมากกว่าทักษะการคิดขั้นที่ต่ํากว่า
4. มิติด้านลักษณะการคิด เป็นประเภทของการคิดที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งมีความเป็น
นามธรรมสูง จําเป็นต้องมีการตีความให้เห็นเป็นรูปธรรม
จึงจะสามารถเห็นกระบวนการหรือขั้นตอน การคิดชัดเจนขึ้น เช่น การคิดกว้าง
การคิดลึกซึ้ง การคิดละเอียด เป็นต้น
5. มิติด้านกระบวนการคิด เป็นการคิดที่ประกอบไปด้วยขั้นตอนหลักหลายขั้นตอน
ซึ่งจะนําผู้คิดไปสู่เป้าหมายเฉพาะของการคิดนั้น
โดยขั้นตอนหลักเหล่านั้นจําเป็นต้องอาศัยทักษะการ คิดย่อยๆ จํานวนมากบ้างน้อยบ้าง
กระบวนการคิดแก้ปัญหา กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กระบวนการวิจัย เป็นต้น
6. มิติด้านการควบคุมและประเมินการคิดของตน (metacognition) เป็นกระบวนการ ที่บุคคลใช้ในการควบคุมกํากับการรู้คิดของตนเอง
มีผู้เรียกการคิดลักษณะนี้ว่า เป็นการคิดอย่างมี ยุทธศาสตร์ (Strategic
thinking) ซึ่งครอบคลุมการวางแผน การควบคุมกํากับการกระทําของตนเอง
การตรวจสอบความก้าวหน้า และประเมินผล
นอกจากการนําเสนอมิติการคิดข้างต้นแล้ว
ทิศนา แขมมณี และคณะ (2543)
ยังได้ นําเสนอกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical
thinking) ซึ่งเป็นผลจากการสังเคราะห์ข้อมูล
เกี่ยวกับการคิดทั้งของต่างประเทศและของประเทศไทย ดังรายละเอียดต่อไปนี้
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
จุดมุ่งหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
เพื่อให้ได้ความคิดที่รอบคอบสมเหตุสมผล
ผ่านการพิจารณาปัจจัยรอบด้านอย่าง กว้างขวาง ลึกซึ้ง และผ่านการพิจารณากลั่นกลอง
ไตร่ตรอง ทั้งทางด้านคุณ - โทษ และคุณค่าที่ แท้จริงของสิ่งนั้นมาแล้ว
เกณฑ์ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ผู้ที่คิดอย่างมีวิจารณญาณ จะมีความสามารถดังนี้
1.
สามารถกําหนดเป้าหมายในการคิดอย่างถูกต้อง
2.
สามารถระบุประเด็นในการคิดอย่างชัดเจน
3. สามารถประมวลข้อมูล ทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นเกี่ยวกับ
ทั้งทางด้านกว้าง ทางลึก และไกล
4. สามารถวิเคราะห์ข้อมูล
และเลือกข้อมูลที่จะใช้ในการคิดได้
5. สามารถประเมินข้อมูลได้
6. สามารถใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูล
และเสนอคําตอบทาง 4. สมเหตุสมผลได้
7.สามารถเลือกทางเลือก/ลงความเห็นในประเด็นที่คิดได้
วิธีการหรือขั้นตอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
1.ตั้งเป้าหมายในการคิด
2.ระบุประเด็นในการคิด
3. ประมวลข้อมูล
ทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็น ที่คิดทั้งทางกว้าง
ลึก และไกล
4. วิเคราะห์
จําแนกแยกแยะข้อมูล จัดหมวดหมู่ของข้อมูล และเลือกข้อมูลที่จะ นํามาใช้
5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้อง
ความเพียงพอ และความน่าเชื่อถือ
6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลเพื่อแสวงหาทางเลือก/คําตอบที่
สมเหตุสมผลตามข้อมูลที่มี
7. เลือกทางเลือกที่เหมาสมโดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมา และคุณค่าหรือ
ความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น
8. ชั่งน้ําหนัก ผลได้ผลเสีย คุณ โทษ ในระยะสั้นและระยะยาว 9. ไตร่ตรอง ทบทวนกลับไปมาให้รอบคอบ
10. ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด 3.6 กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
เกรียงศักดิ์
เจริญวงศ์ศักดิ์ (2542 ข : 3 - 4) ผู้อํานวยการสถาบันอนาคตศึกษา พัฒนา
(ไอเอฟอี) และนักคิดคนสําคัญของประเทศ ได้อภิปรายไว้ว่า หากเราต้องการให้ประเทศ
พัฒนาต่อไปได้ ไม่เสียเปรียบ ไม่ถูกหลอกง่าย และสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้
เราจึงขลา พัฒนาให้คนไทย “คิดเป็น” คือรู้จักวิธีการคิดที่ถูกต้อง
และท่านได้เสนอแนะว่าควรมีกา ความสามารถในการคิดใน 10 มิติ
ให้แก่คนไทย โดยท่านได้ให้ความหมายของการคิดใน ดังกล่าวไว้
ซึ่งผู้เขียนขอประยุกต์มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสําหรับครูเพอ
การพัฒนาผู้เรียนดังนี้
มิติที่
1 ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) สามารถพัฒนาให้ - ขอให้ผู้เรียนท้าทาย
และโต้แย้งข้อสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังเหตุผลที่โยงความคิดเกิดขึ้นได้โดยฝึกให้ผู้เรียนท้าทายนั้น
เพื่อเปิดทางสู่แนวความคิดอื่นๆ ที่อาจเป็นไปได้
มิติที่
2 ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ (analytical thinking) พัฒนาให้เกิดขึ้น 5. การฝึกให้ผู้เรียนสืบค้นข้อเท็จจริง
เพื่อตอบคําถามเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง โดยการตีความ -----dation) การจําแนกแยกแยะ (classification) และการทําความเข้าใจ
(understanding) กับประกอบของสิ่งนั้นและองค์ประกอบอื่นๆ
ที่สัมพันธ์กัน รวมทั้งเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิง หตุผล (causal
relationship) ที่ไม่ขัดแย้งกันระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นด้วยเหตุผลที่หนักแน่น
น่าเชื่อถือ
มิติที่
3 ความสามารถในการคิดเชิงสังเคราะห์ (synthesis type thinking) และการฝึก ให้ผู้เรียนรวมองค์ประกอบที่แยกส่วนกัน
มาหลอมรวมภายใต้โครงร่างใหม่อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วย
พัฒนาผู้เรียนความสามารถของผู้เรียนในการคิดเชิงสังเคราะห์ได้
มิติที่
4 ความสามารถในการคิดเชิงเปรียบเทียบ (comparative thinking) การฝึกให้
ผู้เรียนค้นหาความเหมือนและ/หรือความแตกต่างขององค์ประกอบตั้งแต่ 2 องค์ประกอบขึ้นไป เพื่อ ใช้ในการอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งบนมาตรการ (criteria)
เดียวกัน เป็นวิธีการช่วยให้ผู้เรียนพัฒนา
ทักษะการคิดเชิงเปรียบเทียบได้ดี
มิติที่
5 ความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์ (conceptual thinking) ผู้เรียนจะ
สามารถพัฒนาทักษะในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกการนําข้อมูลทั้งหมดมาประสานกันและสร้างเป็น
กรอบความคิดใหม่ขึ้นมาใช้ในการตีความข้อมูลอื่นๆ ต่อไป
มิติที่
6 ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative thinking) ความสามารถด้าน
นพฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดออกนอกกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่
ทําให้ได้แนวทางใหม่ๆ ที่ไม่ เคยมีมาก่อน
มิติที่
7 ความสามารถในการคิดเชิงประยุกต์ (applicative thinking) การคิดประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจําวันมาก ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกนําสิ่งต่างๆ
ที่มีอยู่เดิมไปใช้ นวัตถุประสงค์ใหม่ และปรับสิ่งที่มีอยู่เดิมให้เข้ากับบุคคล
สถานที่ เวลา และเงื่อนไขใหม่ได้อย่างเหมาะสม
มิติที่
8 ความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic thinking) ความสามารถในด้านนี้
พัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนกำหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรมที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆ
เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
9 ความสามารถในการคิดเชิงบูรณาการ (integrative thinking) คือการฝึกให้ เชื่อมโยงเรื่องในมมต่างๆ เข้ากับเรื่องหลักๆ
ได้อย่างเหมาะสม
มิติที่
10 ความสามารถในการคิดเชิงอนาคต (futuristic thinking) เร ในการคิดขั้นสูง ซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคาดการณ์ และ
เปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการใช้เหตุผลทางตรรกวิทยา สมบล
ความสัมพันธ์ต่างๆ ของในอดีตและปัจจุบัน เพื่อคาดการณ์ ทิศทางหรือขอบเขตทางเศ. .
อีกทั้งมีพลวัตรสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
3.7 กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์
โกวิท
ประวาลพฤกษ์ (2532)
นักวิชาการคนสําคัญท่านหนึ่งในวงการศึกษาได้เสมอ
ความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาค่านิยมและจริยธรรมไว้ว่า
ควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรม และดําเนินการสอนตามขั้นตอนดังนี้
1. กําหนดพฤติกรรมทางจริยธรรมที่พึงปรารถนา
2. เสนอตัวอย่างพฤติกรรมในปัจจุบัน
3. ประเมินปัญหาเชิงจริยธรรม
4. แลกเปลี่ยนผลการประเมิน
5. ฝึกพฤติกรรมโดยมีผลสําเร็จ
6. เพิ่มระดับความขัดแย้ง
7. ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
8. กระตุ้นให้ผู้เรียนยอมรับตัวเอง
3.8 กระบวนการต่างๆ โดย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงศึกษาธิการ
โดยกรมวิชาการ สํานักงานคณะกรรมการการประ กรมสามัญ และกรมการศึกษาเอกชน
ได้สนับสนุนให้มีการพิจารณานํากระบวนการเรีย ไปใช้ในการเรียนการสอน
โดยเสนอแนะกระบวนการที่ครูควรใช้ 12 กระบวนการด้วยกัน
ดังนี้ (กรมวิชาการ 2534)
3.8.1 ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น)
3.3.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
3.2.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
3.8.4 กระบวนการแก้ปัญหา
3.3.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
3.8.6 กระบวนการปฏิบัติ
3.8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์
3.8.8 กระบวนการเรียนภาษา
3.8.9 กระบวนการกลุ่ม
3.8.10 กระบวนการสร้างเจตคติ
3.8.11 กระบวนการสร้างค่านิยม
3.8.12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2534)
ได้ให้ความหมายของการสอนที่เน้นกระบวนการไว้ว่า เป็นการสอนที่
ก.
สอนให้ผู้เรียนสามารถทําตามขั้นตอนได้และรับรู้ขั้นตอนทั้งหมดจนสามารถ
นําไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ใหม่ๆ
ข.
สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนจนเกิดทักษะ สามารถนําไปใช้ได้อย่างอัตโนมัติ
การสอนกระบวนการจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้
1.ครูมีความเข้าใจและใช้กระบวนการนั้นอยู่
2. ครูนําผู้เรียนผ่านขั้นตอนต่างๆ
ของกระบวนการทีละขั้นอย่างเข้าใจครบถ้วนครบวงจร
3. ผู้เรียนเข้าใจและรับรู้ขั้นตอนของกระบวนการนั้น
4. ผู้เรียนนํากระบวนการนั้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้
5. ผู้เรียนใช้กระบวนการนั้นในชีวิตประจําวันจนเป็นนิสัย
จะเห็นได้ว่ากระบวนการเหล่านี้ผู้สอนจะต้องเป็นผู้วางแผน
นําให้ผู้เรียนเกิด กระบวนการเรียนรู้จนบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น
กระบวนการที่ใช้จะเป็นกระบวนการใดก็
ย่อมขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นสําคัญ
3.8.1 ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น)
1.ตระหนักในปัญหาและความจําเป็น
ครูยกสถานการณ์ตัวอย่างและกระตุ้นให้ผู้เรียนตระหนักในปัญหาความจะเป็นของเรื่องที่ศึกษา
หรือเห็นประโยชน์และความสําคัญของการศึกษาเรื่องนั้นๆ โดยครูอาจนําเสนอเป็นกรณีตัวอย่าง
หรือสถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาความขัดแย้งของเรื่องที่จะศึกษาโดยใช้สื่อ
อบ เช่น รูปภาพ วีดีทัศน์ สถานการณ์จริง กรณีตัวอย่าง สไลด์ ฯลฯ
2. คิดวิเคราะห์วิจารณ์
ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์
วิจารณ์ ตอบคําถาม ทําแบบฝึกหัด และให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่ม
หรือรายบุคคล
3. สร้างทางเลือกให้หลากหลาย
ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย
โดยร่วมกันคิด เสนอทางเลือก และอภิปรายข้อดีข้อเสียของทางเลือกนั้น
4. ประเมินและเลือกทางเลือก
ให้ผู้เรียนพิจารณาตัดสินเลือกแนวทางในการแก้ปัญหาและร่วมกันสร้าง
เกณฑ์โดยคํานึงถึงปัจจัย วิธีดําเนินการ ผลผลิต ข้อจํากัด ความเหมาะสม กาลเทศะ
เพื่อใช้ในการ พิจารณาเลือกแนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งอาจใช้วิธีระดมพลังสมอง อภิปราย
ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ฯลฯ
5. กําหนดและลําดับขั้นตอนการปฏิบัติ
ให้ผู้เรียนวางแผนในการทํางานของตนเองหรือหลุ่มโดยอาจใช้ลําดับขั้นการ
ดําเนินงานดังนี้
5.1
ศึกษาข้อมูลขั้นพื้นฐาน
5.2 กําหนดวัตถุประสงค์
5.3
กําหนดขั้นตอนการทํางาน
5.4 กําหนดผู้รับผิดชอบ
(กรณีทําร่วมกันเป็นกลุ่ม)
5.5
กําหนดระยะเวลาการทํางาน
5.6
กําหนดวิธีการประเมิน
6. ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
ให้ผู้เรียนปฏิบัติตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ด้วยความสมัครใจ
ตั้งใจมีความ กระตือรือร้นและเพลิดเพลินกับการทํางาน
7. ประเมินระหว่างปฏิบัติ
ให้ผู้เรียนสํารวจปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานโดยการซักถามอภิปราย
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอนและตามแผนงานที่กําหนดไว้
ผลการทํางานแต่ละช่วง แล้วเสนอแนวทางการปรับปรุงการทํางานขั้นต่อไป
8. ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
ผู้เรียนนําผลที่ได้จากการประเมินในแต่ละขั้นตอนมาเป็นแนวทางในการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
9. ประเมินผลรวมเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ
ผู้เรียนสรุปผลการดําเนินงาน
โดยการเปลียบเทียบผลงานกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดกําหนดไว้และผลพลอยได้อื่นๆ
ซึ่งอาจเผยแพร่ขยายผลงานแก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ
3.3.2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
1. สังเกต
ให้ผู้เรียนรับรู้ข้อมูล
และศึกษาด้วยวิธีการต่างๆ โดยใช้สื่อประกอบเพื่อกระตุ้น
ให้ผู้เรียนเกิดข้อกําหนดเฉพาะด้วยตนเอง
2. จําแนกความแตกต่าง
ให้ผู้เรียนบอกถึงความแตกต่างของสิ่งที่รับรู้และให้เหตุผลในความแตกต่างนั้น
3. หาลักษณะร่วม
ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนในภาพรวมของสิ่งที่รับรู้
และสรุปเป็นวิธีการ หลักการ คําจํากัดความ หรือนิยาม
4. ระบุชื่อความคิดรวบยอด
ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้
5. ทดสอบและนําไปใช้
ผู้เรียนได้ทดลอง
ทดสอบ สังเกต ทําแบบฝึกหัด ปฏิบัติ เพื่อประเมินความรู้
3.8.3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นความสามารถทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับ
การรับรู้ ความจํา จนถึงขั้นการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าตามแนวคิดของ
บลูม (Bloom)
หรือแนวความคิดของกานเย่ (Gagne) ซึ่งเริ่มจากการเรียนรู้สัญลักษณ์ทางภาษาจนเชื่อมโยงเป็น
ความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์และนํากฎเกณฑ์ไปใช้ผู้สอน ควรพยายามใช้เทคนิคต่อไปนี้
ซึ่งไม่ จําเป็นต้องใช้เป็นขั้นๆ อาจจะเลือกใช้เทคนิคใดก่อนหลังก็ได้ขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอน แต่ความพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนผ่านขั้นตอนย่อยทุกขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นสังเกต
ให้ผู้เรียนทํากิจกรรมรับรู้แบบปรนัยให้เกิดความเข้าใจ
ได้ความคิดรวบยอด เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ สรุปเป็นใจความสําคัญครบถ้วน
ตรงตามหลักฐานข้อมูล
2. อธิบาย
ให้ผู้เรียนตอบคําถาม
แสดงความคิดเห็นเชิงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ การใช้เหตุผล ด้วยหลักการ
กฎเกณฑ์และอ้างหลักฐานข้อมูลประกอบให้น่าเชื่อถือ
3. รับฟัง
ให้ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็น
คําวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อความคิดของตน ได้ตอบ ตอบ
และแสดงความคิดเห็นของตนฝึกให้ผู้เรียนปรับเปลี่ยนความคิดเดิมของตนตามเหตุผลหรือข้อมูลที่ดี
โดยไม่ใช้อารมณ์
4. เชื่อมโยงความสัมพันธ์
ให้ผู้เรียนได้เปรียบเทียบความแตกต่าง
และความคล้ายคลึงของสิ่ง สรุปจัดกลุ่มสิ่งที่เป็นพวกเดียวกัน
เชื่อมโยงเหตุการณ์เชิงสาเหตุและผล หากกฎเกณฑ์การเชื่อม
ลักษณะอุปมาอุปไมย
5. วิจารณ์
จัดกิจกรรมให้วิเคราะห์เหตุการณ์
คํากล่าว แนวคิด หรือการกระทํา แล้วให้จําแนกหาจุดเด่น จุดด้อย ส่วนดี – ส่วนเสีย ส่วนสําคัญ ไม่สําคัญจากสิ่งนั้น ด้วยการยก
หลักการมาประกอบการวิจารณ์
6. สรุป
จัดกิจกรรมให้พิจารณาส่วนประกอบของการกระทําหรือข้อมูลต่างๆ
ที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน แล้วให้สรุปผลอย่างตรงและถูกต้องตามหลักฐานข้อมูล
3.8.4 กระบวนการแก้ปัญหา
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด
1. สังเกต
ให้นักเรียนไปศึกษาข้อมูล
รับรู้และทําความเข้าใจในปัญหาจนสามารถสรุป และตระหนักในปัญหานั้น
2. วิเคราะห์
ให้ผู้เรียนได้อภิปราย
หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อแยกแยะประเด็นปัญหา สภาพ สาเหตุ และลําดับความสําคัญของปัญหา
3. สร้างทางเลือก
ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลายซึ่งอาจมีการ
ทดลอง ค้นคว้า ตรวจสอบ
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทํากิจกรรมกลุ่มและควรมีการกําหนดหน้าทอน
การทํางานให้แก่ผู้เรียนด้วย
4. เก็บข้อมูลประเมินทางเลือก
ผู้เรียนปฏิบัติตามแผนงานและบันทึกการปฏิบัติงาน
เพื่อรายง“
ตรวจสอบความถูกต้องของทางเลือก ตรวจสอบความถูกต้องของทางเลือก
5. สรุป
ผู้เรียนสังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเอง
ซึ่งอาจจัดทําในรูปของรายงาน
3.8.5 กระบวนการสร้างความตระหนัก
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่กระตุ้นให้ผู้เรียนให้ความสนใจ
เอาใจใส่ รับรู้ เห็นคุณค่าในปรากฏการณ์ หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม
ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ขั้นตอนการดําเนินการมีดังนี้
1. สังเกต
ให้ข้อมูลที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ
เอาใจใส่ และเห็นคุณค่า 2.วิจารณ์
ให้ตัวอย่าง
สถานการณ์ ประสบการณ์ตรง เพื่อให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์หาสาเหตุ
และผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
3. สรุป
ให้อภิปรายหาข้อมูลหรือหลักฐานมาสนับสนุนคุณค่าของสิ่งที่จะต้อง
ตระหนักและวางเป้าหมายที่จะพัฒนาตนเองในเรื่องนั้น
3.8.6 กระบวนการปฏิบัติ
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนปฏิบัติจนเกิดทักษะ
มีขั้นตอนดังนี้ 1.
สังเกตรับรู้
ให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างหลากหลายจนเกิดความเข้าใจและสรุปความคิดรวบยอด 2.
ทําตามแบบ ทําตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นทีละขั้นตอน
จากขั้นพื้นฐานไปสู่งานที่ซับซ้อนขั้น 3. ทําเองโดยไม่มีแบบ
เป็นการให้ฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง 4. ฝึกให้ชํานาญ
ให้ผู้เรียนปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชํานาญหรือทําได้โดยอัตโนมัติ
ซึ่งอาจ เป็นงานชิ้นเดิมหรืองานที่คิดขึ้นใหม่
3.8.7 กระบวนการคณิตศาสตร์
กระบวนการนี้มี
2 วิธีการ คือ สอนทักษะทางคิดคํานวณและทักษะแก้ปัญหา โจทย์
การสอนทักษะการคิดคํานวณมีขั้นตอนย่อย คือ สร้างความคิดรวบยอดของคํา นิยามศัพท์
สอนกฎโดยวิธีอุปนัย (สอนจากตัวอย่างไปสู่กฎเกณฑ์ใหม่) ฝึกการวินิจฉัย
ปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่อง
ส่วนการสอนทักษะแก้ปัญหาโจทย์
มีขั้นตอนย่อยคือ แปลโจทย์ในเชิงภาษา หา วิธีแก้ปัญหาโจทย์วางแผน
ปฏิบัติตามขั้นตอน และตรวจสอบคําถาม
3.8.8 กระบวนการเรียนภาษา
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาทักษะทางภาษา
เขามีขั้นตอน
1.ทําความเข้าใจสัญลักษณ์ สื่อ รูปภาพ รูปแบบเครื่องหมาย
ผู้เรียนรับรู้เกี่ยวกับความหมายของคํา
กลุ่มคํา ประโยคและถ้อยคํานวนต่างๆ
2. สร้างความคิดรวบยอด
ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้จากประสบการณ์นํามาสู่ความเข้าใจและเกิดภาพร
เกี่ยวกับสิ่งที่เรียนด้วยตนเอง
3. สื่อความหมาย ความคิด
ผู้เรียนถ่ายทอดทางภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้
4.
พัฒนาความสามารถ
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขั้นตอนคือความรู้ความจํา
ความเข้าใจ การนําไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า
3.8.9 กระบวนการกลุ่ม
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนทํางานร่วมกัน
โดยเน้นกิจกรรมดังนี้
1. มีผู้นํากลุ่ม ซึ่งอาจผลัดเปลี่ยนกัน
2.วางแผนกําหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ
3.รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกทุกคนบนพื้นฐานของเหตุผล
4. แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ เมื่อมีการปฏิบัติ
5. ติดตามผลการปฏิบัติ และปรับปรุง
6. ประเมินผลรวมและชื่นชมในผลงานของคณะ
3.8.10 กระบวนการสร้างเจตคติ
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่แทรกได้กับทุกเนื้อหาเน้นความรู้สึกที่ดี"
กลุ่มที่เรียน
อาจเป็นความคิด หลักการ การกระทํา เหตุการณ์ สถานการณ์ ฯลฯ มีขั้นตอนดังนี้
1.สังเกต
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูลเหตุการณ์
การกระทําที่เกี่ยวข้องกับการมีเจตคติที่ดีและเจตคติที่ไม่ดี
2.
วิเคราะห์
ผู้เรียนพิจารณาผลที่จะเกิดขึ้นตามมา
แยกเป็นการกระทําที่เหมาะสมได้ผล ตามที่น่าพอใจ
และการกระทําที่ไม่เหมาะสมได้ผลที่ไม่น่าพอใจ
3.
สรุป
ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็นหลักการ
แนวคิด แนวปฏิบัติ
3.8.11
กระบวนการสร้างค่านิยม
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเกิดการยอมรับ
และเห็นคุณค่าของค่านิยมด้วยตนเอง มีขั้นตอนดังนี้
1.
สังเกต ตระหนัก
ผู้เรียนพิจารณาการกระทําที่เหมาะสมและการกระทําที่ไม่เหมาสม
รับรู้ ความหมาย จําแนกการกระทําที่แตกต่างกันได้
2.
ประเมินเชิงเหตุผล
ผู้เรียนใช้กระบวนการอภิปรายกลุ่มแสดงความคิดเห็น
วิเคราะห์วิจารณ์การ กระทําของตัวละคร หรือบุคคลในสถานการณ์ต่างๆ
ว่าเหมาะสมหรือไม่เพราะเหตุใด
3.
กําหนดค่านิยม
ผู้เรียนแต่ละคนแสดงความเชื่อ
ความพอใจในการกระทําที่ควรกระทําใน สถานการณ์ต่างๆ พร้อมเหตุผล
4.
วางแผนปฏิบัติ
ผู้เรียนช่วยกันกําหนดแนวปฏิบัติในสถานการณ์จริงโดยมีครูร่วมรับทราบ
กติกา การกระทํา และสํารวจสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะได้รับเมื่อกระทําดีแล้ว เช่น
การได้ประกาศชื่อให้ เป็นที่ยอมรับ
5.
ปฏิบัติด้วยความชื่นชม
ครูให้การเสริมแรงระหว่างการปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชม
ยินดี 3.8.12 กระบวนการเรียน ความรู้ความเข้าใจ
กระบวนการนี้ใช้กับการเรียนเนื้อหาเชิงความรู้
มีขั้นตอนดังนี้ 1. สังเกต ตระหนัก
ผู้เรียนพิจารณาข้อมูล
สาระความรู้ เพื่อสร้างความคิดรวบยอด ตั้งคําถาม ตั้ง ข้อสังเกต สังเคราะห์ข้อมูล
เพื่อทําความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และกําหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่
จะแสวงหาคําตอบต่อไป
2. วางแผนปฏิบัติ
ผู้เรียนนําวัตถุประสงค์
หรือคําถามที่ทุกคนสนใจจะหาคําตอบมาวา กําหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม
3. ลงมือปฏิบัติ
ครกําหนดให้สมาชิกในกลุ่มย่อยๆ
ได้แสวงหาคําตอบจากแหล่งความรู้ด้วย ต่างๆ เช่น ค้นคว้า สัมภาษณ์ ศึกษานอกสถานที่
หาข้อมูลจากองค์กรในชุมชน ฯลฯ ตามแผนงานที่วางไว้
4. พัฒนาความรู้ความเข้าใจ
ผู้เรียนนําความรู้ที่ได้มารายงานและอภิปรายเชิงแปลความ
ตีความ ขยายความ นําไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า
5. สรุป
ผู้เรียนรวบรวมเป็นสาระที่ควรรู้บันทึกลงสมุด
จะเห็นได้ว่า
กระบวนการรวมทั้งรูปแบบการเรียนการสอนต่างๆ ดังได้เสนอไป แล้วข้างต้น
มีจํานวนและความหลากหลายพอสมควร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกเป็นจํานวนมาก
ผู้สอนจึงพึงตระหนักว่าศาสตร์ทางการสอนได้ให้แนวคิดแนวทางในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่าง
หลากหลายพอสมควร หากผู้สอนรู้จักแสวงหา ศึกษาเรียนรู้และนําไปทดลองใช้
จะสามารถช่วยให้ การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ มีชีวิตชีวา และมีความหลากหลาย
ไม่จําเจอยู่กับวิธีการหรือ กระบวนการเพียงไม่กี่วิธีซึ่งอาจทําให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย
สรุป
ในช่วง
3 ทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่วงการศึกษาไทยรับแนวคิดและแนวทางต่างๆ จาก
ต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่และใช้ในประเทศไทยนั้น ได้มีนักคิด
นักการศึกษาไทยจํานวนหนึ่ง พยายามค้นคิดและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน หรือกระบวนการเรียนการสอนขึ้นจากความรู้
ความคิดและประสบการณ์ของตน
หรือประยุกต์จากทฤษฎีและหลักการทั้งของไทยและต่างประเทศ"
ได้รับการยอมรับอยู่แล้ว บางรูปแบบหรือกระบวนการที่พัฒนาขึ้น
ได้รับการพิสูจน์ทดสอบอย่างเป็น ระบบระเบียบตามกระบวนการวิจัย แต่บางรูปแบบหรือกระบวนการ
เป็นการนําเสนอความคิด แม้จะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทดสอบอย่างเป็นระบบ
แต่ก็ได้รับความสนใจและความนิยมโดยทั่วไปรูปแบบ
และกระบวนการที่ได้นําเสนอไว้ในบทนี้ ประกอบด้วยรูปแบบการเรียนการสอนที่ได้พัฒนาขึ้นโดยนักศึกษาไทย
หรือหน่วยงานทางการศึกษาของไทยจํานวน 4 รูปแบบ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการคิด
การเผชิญสถานการณ์ การตัดสินใจและการแก้ปัญหา
รวมทั้งพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษา
พ.ศ. 2542 นอกจากนั้น ยังมี พบการเรียนการสอนที่น่าสนใจ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนา
และได้รับการพิสูจน์และทดสอบประสิทธิภาพมาแล้ว
ซึ่งครูสามารถนําไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนทั้งในระดับ ก่อนประถมศึกษา มัธยมศึกษา
อุดมศึกษา รามทั้งอาชีวศึกษาได้ นอกเหนือจากรูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าว
ผู้เขียนได้นําเสนอกระบวนการต่างๆ ที่สามารถใช้ในการพัฒนาผู้เรียนในด้านต่างๆ เช่น
การพัฒนาทางด้านค่านิยม จริยธรรม เจตคติต่างๆ การพัฒนาทางด้านการคิด
การปฏิสัมพันธ์และการ ทํางานเป็นกลุ่ม รวมทั้งการปฏิบัติและการแก้ปัญหาต่างๆ
นอกจากนั้นยังมีกระบวนการทางด้านการ เรียนรู้วิชาการต่างๆ เช่น การเรียนรู้ภาษา
และคณิตศาสตร์ เป็นต้น ความหลากหลายของรูปแบบ และกระบวนการต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
สามารถช่วยให้ผู้สอนมีทางเลือกในการจัดการเรียนการสอน มากขึ้น
ซึ่งผู้สอนควรจะพิจารณานําไปใช้เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง
มีความแปลกใหม่ ซึ่งจะสามารถจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความสนใจใฝ่รู้มากขึ้นด้วย
อ้างอิง
พิจิตรา ธงพานิช.
วิชาการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 3 นครปฐม :
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, 2560.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น